พระราชบัญญัติ
การเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศ
เพื่อชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ
พ.ศ. ๒๕๖๐
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. ๒๕๖๐”
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
“อนุสัญญาความรับผิด” หมายความว่า อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งสำหรับความเสียหายจากมลพิษของน้ำมัน ค.ศ. ๑๙๙๒
“อนุสัญญากองทุน” หมายความว่า อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมัน ค.ศ. ๑๙๙๒
“กองทุน” หมายความว่า กองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมันซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญากองทุน
“ผู้อำนวยการ” หมายความว่า ผู้อำนวยการกองทุนตามอนุสัญญากองทุน
“เรือ” หมายความว่า เรือเดินทะเลใด ๆ รวมทั้งยานพาหนะทางทะเลแบบใด ๆ ซึ่งได้ต่อหรือดัดแปลงขึ้นเพื่อใช้บรรทุกน้ำมันในระวางอย่างสินค้า สำหรับเรือที่สามารถบรรทุกได้ทั้งน้ำมันและสินค้าอื่นให้ถือว่าเป็นเรือตามความหมายนี้ต่อเมื่อเรือนั้นได้บรรทุกน้ำมันในระวางอย่างสินค้า และให้ถือว่าเป็นเรืออยู่ต่อไปในระหว่างการเดินทางภายหลังการบรรทุกน้ำมันจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีน้ำมันเหลืออยู่ในระวาง
“บุคคล” หมายความว่า บุคคลธรรมดา กลุ่มบุคคล หรือหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนไม่ว่าจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ และให้หมายความรวมถึงรัฐและเขตการปกครองของรัฐนั้น
“เจ้าของเรือ” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเรือ หรือในกรณีที่ไม่มีการจดทะเบียนก็ให้หมายถึงบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของเรือตามความเป็นจริง ในกรณีที่รัฐถือกรรมสิทธิ์และดำเนินการโดยบริษัทที่ได้จดทะเบียนในรัฐนั้นในฐานะเป็นผู้ประกอบกิจการเดินเรือ คำว่า “เจ้าของเรือ” ให้หมายความถึงบริษัทดังกล่าว
“น้ำมัน” หมายความว่า น้ำมันแร่ไฮโดรคาร์บอนที่สลายตัวยาก เช่น น้ำมันดิบ น้ำมันเตา น้ำมันดีเซลหนัก น้ำมันหล่อลื่น ไม่ว่าจะบรรทุกบนเรืออย่างสินค้าหรือในถังน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือดังกล่าว
“น้ำมันที่ต้องจ่ายเงินสมทบ” หมายความว่า น้ำมันดิบและน้ำมันเตาที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้
(๑) น้ำมันดิบ ได้แก่ สารผสมไฮโดรคาร์บอนเหลวใด ๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติใต้พื้นดินไม่ว่าจะผ่านกรรมวิธีเพื่อให้เหมาะสมกับการขนส่งหรือไม่ก็ตาม และให้หมายความรวมถึงน้ำมันดิบที่ได้แยกส่วนกลั่นบางส่วนออกไปแล้ว หรือน้ำมันดิบที่มีการเติมส่วนกลั่นบางส่วนเพิ่มขึ้น
(๒) น้ำมันเตา ได้แก่ น้ำมันส่วนที่หนักหรือส่วนที่เหลือจากการกลั่นน้ำมันดิบ หรือสารผสมของทั้งสองส่วน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตความร้อนหรือพลังงานที่มีคุณภาพเทียบเท่าน้ำมันเตาหมายเลขสี่ตามมาตรฐาน หมายเลข ดี ๓๙๖-๖๙ ที่กำหนดโดยสถาบันทดสอบและกำหนดค่าวัตถุของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือหนักกว่า
“ความเสียหายจากมลพิษ” หมายความว่า
(๑) การสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นภายนอกตัวเรือจากการปนเปื้อนที่มีผลมาจากการรั่วไหลหรือปล่อยทิ้งน้ำมันจากเรือ ไม่ว่าการรั่วไหลหรือการปล่อยทิ้งดังกล่าวจะเกิดขึ้น ณ ที่ใด ทั้งนี้ รวมถึงค่าชดเชยความเสียหายของสิ่งแวดล้อมและการสูญเสียผลประโยชน์จากความเสียหายของสิ่งแวดล้อม
ค่าชดเชยความเสียหายของสิ่งแวดล้อมให้จำกัดเพียงค่าใช้จ่ายสำหรับมาตรการที่สมเหตุผลซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วหรือจะดำเนินการต่อไปเพื่อให้สิ่งแวดล้อมที่เสียไปคืนสู่สภาพเดิม
(๒) ค่าใช้จ่ายสำหรับมาตรการในการป้องกัน และการสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจากมาตรการดังกล่าว
“มาตรการในการป้องกัน” หมายความว่า มาตรการที่สมเหตุผลซึ่งดำเนินการโดยบุคคลใด ๆ ภายหลังที่เกิดอุบัติการณ์ เพื่อป้องกันหรือบรรเทาความเสียหายจากมลพิษ
“อุบัติการณ์” หมายความว่า เหตุการณ์หรือเหตุการณ์ต่อเนื่องใด ๆ อันเป็นผลจากเหตุเดียวกันที่ก่อให้เกิดความเสียหายจากมลพิษ หรือก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ร้ายแรงและชัดเจนอันจะนำไปสู่ความเสียหายจากมลพิษ
“หน่วยสิทธิพิเศษถอนเงิน” หมายความว่า หน่วยสิทธิพิเศษถอนเงินตามกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจและกำหนดการปฏิบัติบางประการเกี่ยวกับสิทธิพิเศษถอนเงินในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
“ผู้รับประกัน” หมายความว่า ผู้รับประกันภัยหรือผู้ให้หลักประกันทางการเงินอื่นใดซึ่งครอบคลุมความรับผิดของเจ้าของเรือตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ
“จุดรับน้ำมัน” หมายความว่า สถานที่ใด ๆ ที่ใช้สำหรับเก็บน้ำมันซึ่งสามารถรับน้ำมันจากการขนส่งทางน้ำได้ และให้หมายความรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ที่ตั้งอยู่นอกฝั่งและสามารถส่งน้ำมันมายังสถานที่นั้น
มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
บททั่วไป
มาตรา ๕ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับกับ
(๑) ความเสียหายจากมลพิษที่เกิดขึ้น
(ก) ในราชอาณาจักรไทยซึ่งรวมถึงทะเลอาณาเขต
(ข) ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทย
(๒) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้มาตรการในการป้องกันมิให้เกิดความเสียหายในพื้นที่ตาม (๑) ทั้งนี้ ไม่ว่าจะได้ดำเนินมาตรการนั้น ณ ที่ใด
มาตรา ๖ ถ้าอุบัติการณ์ประกอบด้วยหลายเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน ให้ถือว่าอุบัติการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่วันเกิดเหตุการณ์ครั้งแรก
มาตรา ๗ ให้กรมเจ้าท่าเป็นหน่วยงานในการประสานงานกับกองทุน และดำเนินการใด ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้
ให้อธิบดีกรมเจ้าท่ามีอำนาจออกประกาศและแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง
กองทุน
มาตรา ๘ ให้ยอมรับนับถือว่ากองทุนเป็นนิติบุคคล สามารถมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายไทย และอาจเป็นคู่ความในการดำเนินคดีในศาล ทั้งนี้ ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้แทนโดยชอบด้วยกฎหมายของกองทุน
มาตรา ๙ ให้กองทุนได้รับการยกเว้น ดังต่อไปนี้
(๑) ภาษีทางตรงใด ๆ ที่จะจัดเก็บจากสินทรัพย์ รายได้ เงินสมทบที่ได้รับและทรัพย์สินอื่น
(๒) อากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรและภาษีอื่น ๆ ในกรณีที่มีการนำเข้าหรือส่งออกของใด ๆ เพื่อใช้ในการดำเนินงานของกองทุน ทั้งนี้ ของดังกล่าวจะต้องไม่ถูกโอนหรือนำออกขายในราชอาณาจักร เว้นแต่จะมีความตกลงระหว่างกองทุนกับรัฐบาลไทย
การยกเว้นดังกล่าวไม่รวมถึงภาษีต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้มีการจัดเก็บมากไปกว่าค่าบริการสาธารณูปโภค
มาตรา ๑๐ การดำเนินงานของกองทุนให้อยู่ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
(๑) เพื่อการจ่ายค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายจากมลพิษในกรณีที่วงเงินความรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือนั้นไม่เพียงพอ
(๒) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อื่นใดตามที่อนุสัญญากองทุนกำหนด
มาตรา ๑๑ กองทุนจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษหากบุคคลนั้นไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนและเพียงพอตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) ไม่มีผู้ที่ต้องรับผิดต่อความเสียหายจากมลพิษที่เกิดขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ
(๒) เจ้าของเรือซึ่งต้องรับผิดต่อความเสียหายจากมลพิษตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือไม่มีความสามารถทางการเงินเพียงพอที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้เต็มตามจำนวนที่กฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือกำหนดไว้ และหลักประกันทางการเงินที่มีอยู่ไม่ครอบคลุมถึงหรือไม่เพียงพอ
เมื่อปรากฏว่าบุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษได้ดำเนินการเรียกร้องสิทธิในทุกขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว และยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนตามที่กฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือกำหนดไว้ ให้ถือว่าเจ้าของเรือไม่มีความสามารถทางการเงินที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและมีหลักประกันทางการเงินไม่เพียงพอ
(๓) ความเสียหายที่เกิดขึ้นมากเกินกว่าที่เจ้าของเรือสามารถจำกัดความรับผิดได้ ตามที่กฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือกำหนดไว้
ในกรณีที่เจ้าของเรือได้กระทำการโดยสมัครใจและตามสมควร ซึ่งก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายหรือมีการเสียสละทรัพย์สิน เพื่อป้องกันหรือบรรเทาความเสียหายจากมลพิษที่เกิดขึ้น ให้ถือว่าค่าใช้จ่ายหรือทรัพย์สินที่ได้เสียสละไปนั้นเป็นความเสียหายจากมลพิษด้วย
มาตรา ๑๒ กองทุนไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) หากกองทุนพิสูจน์ได้ว่า
(ก) ความเสียหายจากมลพิษเป็นผลมาจากสงคราม การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ สงครามกลางเมือง หรือการจลาจล หรือ
(ข) ความเสียหายจากมลพิษเกิดจากน้ำมันซึ่งรั่วไหลหรือถูกปล่อยทิ้งจากเรือรบ หรือเรืออื่นใดซึ่งรัฐถือกรรมสิทธิ์หรือดำเนินการในขณะที่เกิดอุบัติการณ์นั้น เรือดังกล่าวได้ใช้ในกิจการของรัฐซึ่งมิได้มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์
(๒) บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายจากมลพิษนั้นเกิดขึ้นจากอุบัติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรือ
มาตรา ๑๓ กองทุนอาจหลุดพ้นจากความรับผิดในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายจากมลพิษนั้นเป็นผลจากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำไม่ว่าโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของบุคคลดังกล่าว
กองทุนไม่ต้องรับผิดในกรณีที่เจ้าของเรือหลุดพ้นจากความรับผิด เนื่องจากเจ้าของเรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายจากมลพิษไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นผลจากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำไม่ว่าโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของบุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษนั้น
กองทุนยังคงต้องรับผิดสำหรับมาตรการในการป้องกัน
มาตรา ๑๔ กองทุนจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเมื่อมีอุบัติการณ์ ดังต่อไปนี้
(๑) เมื่อมีอุบัติการณ์เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ๆ เว้นแต่กรณีตาม (๒) และ (๓) ให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนซึ่งเมื่อรวมกับค่าสินไหมทดแทนที่ได้จ่ายไปจริงตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือแล้วไม่เกิน ๒๐๓ ล้านหน่วยสิทธิพิเศษถอนเงิน
(๒) เมื่อมีอุบัติการณ์เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีลักษณะพิเศษซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงและป้องกันได้ เว้นแต่กรณีตาม (๓) ให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนไม่เกิน ๒๐๓ ล้านหน่วยสิทธิพิเศษถอนเงิน
(๓) เมื่อมีอุบัติการณ์เกิดขึ้นและมีรัฐภาคีแห่งอนุสัญญากองทุนสามประเทศเกี่ยวข้อง ประกอบกับปริมาณน้ำมันที่ต้องจ่ายเงินสมทบที่บุคคลซึ่งอยู่ในอาณาเขตของรัฐภาคีได้รับในปีที่ผ่านมารวมกันแล้วเท่ากับหรือมากกว่า ๖๐๐ ล้านเมตริกตันขึ้นไป ให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนไม่เกิน ๓๐๐.๗๔ ล้านหน่วยสิทธิพิเศษถอนเงิน
การจำกัดความรับผิดนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามอนุสัญญาหรือพิธีสารที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
มาตรา ๑๕ จำนวนค่าสินไหมทดแทนที่กองทุนจะต้องจ่ายตามมาตรา ๑๔ ไม่ให้รวมถึงดอกเบี้ยที่เกิดจากการวางหลักประกันเพื่อความรับผิดของเจ้าของเรือตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ
มาตรา ๑๖ เพื่อประโยชน์แก่การคำนวณค่าสินไหมทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้การแปลงหน่วยสิทธิพิเศษถอนเงินให้เป็นเงินสกุลบาท ให้คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศกำหนดในวันที่สภาแห่งกองทุนตามอนุสัญญากองทุนมีมติให้จ่ายค่าสินไหมทดแทน
มาตรา ๑๗ ในกรณีที่กองทุนต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษหลายรายรวมกันมีจำนวนเกินกว่าค่าสินไหมทดแทนที่กองทุนจะต้องจ่ายตามมาตรา ๑๔ ให้กองทุนจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัดส่วนที่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายแต่ละคนมีสิทธิจะได้รับ
มาตรา ๑๘ ในกรณีที่กองทุนได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากมลพิษตามมาตรา ๑๑ ไปแล้ว ให้กองทุนรับช่วงสิทธิของบุคคลที่ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อไล่เบี้ยต่อเจ้าของเรือผู้รับประกันของเจ้าของเรือ หรือบุคคลอื่นซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายได้
การใช้สิทธิไล่เบี้ยต่อบุคคลอื่นตามวรรคหนึ่ง ให้กองทุนอยู่ในลำดับเดียวกันกับผู้รับประกันภัย
มาตรา ๑๙ ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อความเสียหายจากมลพิษให้แก่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษรายใดรายหนึ่งหรือหลายรายให้หน่วยงานของรัฐนั้นรับช่วงสิทธิของบุคคลดังกล่าวเพื่อไล่เบี้ยต่อกองทุนได้
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ
เงินสมทบ
มาตรา ๒๐ ให้บุคคลดังต่อไปนี้มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบรายปีให้แก่กองทุน
(๑) บุคคลผู้รับน้ำมันที่ต้องจ่ายเงินสมทบเป็นจำนวนรวมกันเกินกว่า ๑๕๐,๐๐๐ เมตริกตัน ในแต่ละปีปฏิทิน
(๒) บุคคลผู้ร่วมกิจการแต่ละรายซึ่งรับน้ำมันในแต่ละปีปฏิทินมีจำนวนไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ เมตริกตัน แต่เมื่อรวมกันแล้วมีปริมาณน้ำมันที่ต้องจ่ายเงินสมทบเกินกว่า ๑๕๐,๐๐๐ เมตริกตัน โดยบุคคลผู้ร่วมกิจการแต่ละรายต้องจ่ายเงินสมทบตามส่วนปริมาณน้ำมันที่ได้รับจริง
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ “บุคคลผู้ร่วมกิจการ” หมายความว่า บุคคลที่อยู่ภายใต้การควบคุมหรือบริหารร่วมกัน
มาตรา ๒๑ น้ำมันที่ต้องจ่ายเงินสมทบตามมาตรา ๒๐ ให้หมายความถึง กรณีดังต่อไปนี้
(๑) น้ำมันที่รับจากการขนส่งทางทะเล ณ ท่าเรือหรือจุดรับน้ำมันในราชอาณาจักร
(๒) น้ำมันที่รับ ณ สิ่งติดตั้งใด ๆ ในราชอาณาจักรเป็นครั้งแรกจากประเทศอื่นที่มิได้เป็นภาคีแห่งอนุสัญญากองทุน ภายหลังจากการขนส่งทางทะเลและได้มีการขนถ่ายในประเทศนั้น
มาตรา ๒๒ ให้อธิบดีกรมเจ้าท่าประกาศรายชื่อน้ำมันที่ต้องจ่ายเงินสมทบและน้ำมันที่ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบในราชกิจจานุเบกษาตามที่กองทุนประกาศกำหนด
มาตรา ๒๓ ให้บุคคลตามมาตรา ๒๐ ส่งข้อมูลรายการตามแบบและปริมาณน้ำมันที่ต้องจ่ายเงินสมทบที่ตนได้รับไว้ในแต่ละรอบปีปฏิทินให้แก่กรมเจ้าท่าให้ครบถ้วนและถูกต้องตามความเป็นจริง
หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการรายงานข้อมูลรายการตามแบบและปริมาณน้ำมัน ให้เป็นไปตามที่อธิบดีกรมเจ้าท่าประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๔ ให้กรมเจ้าท่าจัดทำบัญชีรายชื่อและที่อยู่ของบุคคลตามมาตรา ๒๐ ที่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน ตลอดจนข้อมูลรายการตามแบบและปริมาณน้ำมันที่ต้องจ่ายเงินสมทบที่บุคคลดังกล่าวได้รับไว้ในแต่ละรอบปีปฏิทิน และส่งต่อผู้อำนวยการตามที่กองทุนกำหนด ทั้งนี้ ให้สันนิษฐานว่าบุคคลที่มีรายชื่อตามบัญชีรายชื่อเป็นบุคคลที่มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบรายปีให้แก่กองทุน
มาตรา ๒๕ บุคคลตามมาตรา ๒๐ จะต้องจ่ายเงินสมทบรายปีตามจำนวน และกำหนดเวลาที่กองทุนแจ้งไปยังบุคคลดังกล่าวโดยตรง
หากบุคคลดังกล่าวค้างชำระการจ่ายเงินสมทบรายปีตามวรรคหนึ่ง กองทุนอาจคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่กองทุนกำหนด
การเรียกร้อง การดำเนินคดี และอายุความ
มาตรา ๒๖ บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษอาจใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากกองทุนได้
มาตรา ๒๗ ให้พนักงานอัยการมีอำนาจดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากมลพิษตามพระราชบัญญัตินี้ในฐานะผู้เสียหายแทนรัฐหรือในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากเอกชนซึ่งได้รับความเสียหาย
ในการดำเนินคดีของพนักงานอัยการตามวรรคหนึ่ง ให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง แต่ไม่รวมถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด
ในกรณีที่ได้รับมอบอำนาจจากเอกชนซึ่งได้รับความเสียหายตามวรรคหนึ่ง พนักงานอัยการอาจมอบหมายให้กรมเจ้าท่า กรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน ประเมินค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากมลพิษ หรือดำเนินการอื่นตามที่เห็นสมควรก็ได้
มาตรา ๒๘ สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้เป็นอันขาดอายุความหากมิได้มีการฟ้องคดีหรือมิได้มีการแจ้งกองทุนตามมาตรา ๓๓ ภายในสามปีนับแต่วันที่เกิดความเสียหายหรือมิได้มีการฟ้องคดีภายในหกปีนับแต่วันที่เกิดอุบัติการณ์ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายนั้น
มาตรา ๒๙ สิทธิเรียกร้องเงินสมทบตามพระราชบัญญัตินี้เป็นอันขาดอายุความเมื่อพ้นสามปีนับแต่วันที่ผิดนัดชำระเงินสมทบ
เขตอำนาจศาล
มาตรา ๓๐ การดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องตามพระราชบัญญัตินี้ ให้อยู่ในเขตอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางโดยอนุมัติประธานศาลฎีกามีอำนาจออกข้อกำหนดใด ๆ เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาก็ได้
มาตรา ๓๑ ในกรณีที่มีการดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่เกิดจากความเสียหายจากมลพิษต่อเจ้าของเรือหรือผู้รับประกันของเจ้าของเรือในศาลต่างประเทศ ซึ่งประเทศดังกล่าวเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาความรับผิด แต่ไม่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญากองทุน บุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษมีสิทธินำคดีมาฟ้องกองทุนต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ หากคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ
มาตรา ๓๒ ในกรณีที่มีการฟ้องเจ้าของเรือหรือผู้รับประกันของเจ้าของเรือตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ กองทุนมีสิทธิที่จะเข้าร่วมเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวได้
มาตรา ๓๓ ในการฟ้องคดีเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายจากมลพิษจากเจ้าของเรือหรือผู้รับประกันของเจ้าของเรือ ถ้าคู่ความรายหนึ่งรายใดได้แจ้งให้กองทุนทราบถึงการฟ้องคดีตามรูปแบบในข้อกำหนดตามมาตรา ๓๐ แล้ว และกองทุนมิได้เข้ามาในคดี ให้คำพิพากษาถึงที่สุดของศาลในส่วนที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นข้อยุติแล้วมีผลผูกพันกองทุนด้วย
มาตรา ๓๔ คำพิพากษาถึงที่สุดเกี่ยวกับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของกองทุนของศาลต่างประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญากองทุน ให้ใช้บังคับในประเทศไทยได้ เว้นแต่
(๑) คำพิพากษานั้นได้มาโดยกลฉ้อฉล
(๒) จำเลยมิได้รับหมายเรียกโดยชอบและไม่มีโอกาสตามสมควรในการต่อสู้คดี
(๓) คำพิพากษานั้นขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
กำหนดเวลา เงื่อนไข และวิธีการในการขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศบังคับตามคำพิพากษาของศาลต่างประเทศตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
บทกำหนดโทษ
มาตรา ๓๕ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๓ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เมื่อมีความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือบุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษอาจจะไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือได้รับค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่ได้รับ ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดตั้งกองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษน้ำมัน ค.ศ. ๑๙๙๒ จะส่งผลดีต่อบุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากมลพิษที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากกองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมันและเพื่อเป็นการอนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาดังกล่าว สมควรมีกฎหมายว่าด้วยการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
พรวิภา/ภวรรณตรี/จัดทำ
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐
วิชพงษ์/ตรวจ
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐
[๑] ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๔/ตอนที่ ๗๐ ก/หน้า ๑๒/๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐